“เบนซ์” วางโรดแมปสู้รถยนต์ไฟฟ้า เล็ง 10 ปีขึ้นไลน์ปลั๊กอินไฮบริดครบทุกเซ็กเมนต์
มอร์เซเดส-เบนซ์ ตอกย้ำเทรนด์รถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม ส่งเอสยูวี GLE 500 e ปลั๊กอินไฮบริดทำตลาด วางโรดแมปปี 2568 ทำทุกเซ็กเมนต์เป็นลูกผสมชาร์จไฟบ้านทั้งหมด ปลื้ม 6 เดือนยอดขายโตสวนตลาด
นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถหรูช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีจำนวนทั้งสิ้น 9,769 คัน ลดลง 4% เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนยอดขายเบนซ์ 7 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำได้ทั้งหมด 6,504 คัน เติบโต 8% โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และการยกระดับบริการหลังการขายที่แข็งแรงจากดีลเลอร์ ทุกราย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอ S-Class 500 e และ C 350 e รถยนต์ซีดานเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดออกสู่ตลาด ล่าสุดจึงได้เปิดตัว GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ในกลุ่มเอสยูวีที่เป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซ เดส-เบนซ์ เพื่อเติมเต็มกลุ่มเมอร์เซเดส-เบนซ์ อิเล็กทริกไดรฟ์ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นในกลุ่มนี้ ล้วนเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งสำหรับรุ่น GLE 500 e รถยนต์กลุ่มเอสยูวีที่เป็นเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกของเมอร์เซ เดส-เบนซ์ มีให้เลือก 2 ดีไซน์ด้วยกัน คือ Exclusive และ AMG Premium โดยรถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับการปล่อย CO2 ที่ลดเหลือเพียง 83 กรัม/กิโลเมตร ราคา 4,490,000 และ 4,990,000 บาทตามลำดับ ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ ลูกค้าที่ชื่นชอบสมรรถนะทรงพลัง พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานตอบสนองไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์รักษ์โลกแวดล้อมและประหยัด
นอกจากนี้ยังเน้นกลยุทธ์ในการทำการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้ถึงเทคโนโลยีของรถยนต์ในอนาคต ผ่านแคมเปญ DEEINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณาในรูปแบบภาพยนตร์สั้น เรื่องลูปเบรกเกอร์ (Loopbreaker) โดยมีชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ตแบรนด์แอมบาสซาเดอร์นำแสดง เพื่อถ่ายทอดนิยามการทำงานของเครื่องยนต์ในกลุ่มเมอร์เซเดส-เบนซ์ อิเล็กทริกไดรฟ์ ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ คือ ไฮบริด, อีโหมด, อีเซฟ และชาร์จเจอร์ พร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3 สิตรบริษัทมองว่าเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริด เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทมีโรดแมปภายในปี 2568 จะมีเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ของผลิตภัณฑ์
“รถยนต์ไฟฟ้านั้นยังเร็วไป อาจจะกระทบกับหลายส่วน ซึ่งในต่างประเทศเองก็ยังมียอดขายที่น้อยหากเทียบกับรถยนต์ทั่วไป บริษัทเองไม่ได้รอการสนับสนุนของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ แต่จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของตลาด ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใน อนาคต เพราะสามารถผลิตแบตเตอรี่ ต่อยอดซัพพลายเชนที่มีอยู่เพื่อผลิตสำหรับการส่งออกได้ แต่ควรจะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อมก่อน”
สำหรับยอดขายรวมตลาดรถหรูตลอดปี 2559 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 22,000-23,000 คัน เติบโตจากปีที่ผ่านมาเล็กน้อยที่ 20,000-21,000 คัน
ขอขอบคุณบทความจาก : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1470676025